ทำไมคุณควรมีคริปโทอยู่ในพอร์ตการลงทุนของคุณ แม้เพียงแค่ห้าเปอร์เซนต์ก็ยังมีความหมาย

ช่วยแนะนำร้านให้เพื่อน
ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความผันผวน นักลงทุนที่ชาญฉลาดมักมองหาวิธีการกระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการเติบโตของพอร์ตในระยะยาว หนึ่งในสินทรัพย์ที่ถูกพูดถึงมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา คือ คริปโทเคอร์เรนซี หรือสินทรัพย์ดิจิทัล แม้ว่าโดยธรรมชาติของคริปโทจะมีความผันผวนสูงและยังเป็นสินทรัพย์ใหม่เมื่อเทียบกับหุ้น ตราสารหนี้ หรือทองคำ แต่ก็มีเหตุผลหลายประการที่ชัดเจนว่า การมีคริปโทอยู่ในพอร์ต—even แค่ 5%—อาจเป็นการตัดสินใจที่มีความหมายอย่างยิ่ง

1. คริปโทคือสินทรัพย์ใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง

หนึ่งในเหตุผลหลักที่นักลงทุนหลายคนสนใจคริปโทเคอร์เรนซีคือ โอกาสในการเติบโตแบบก้าวกระโดด (asymmetric upside)

ในขณะที่สินทรัพย์แบบดั้งเดิมอย่างหุ้นในตลาดที่พัฒนาแล้วอาจให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6-10% ต่อปี สินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin หรือ Ethereum กลับมีประวัติการให้ผลตอบแทนที่สูงกว่านั้นมากในช่วงเวลาที่ผ่านมาหลายปี แม้จะมีการปรับฐานเป็นช่วง ๆ แต่ในภาพรวมผู้ที่ถือครองในระยะยาว (long-term holders) มักได้รับผลตอบแทนที่น่าประทับใจ

เช่น หากคุณลงทุนใน Bitcoin เมื่อต้นปี 2017 ด้วยเงินเพียง 1,000 บาท วันนี้คุณอาจมีเงินหลายหมื่นบาท แม้ราคาจะขึ้นลงอย่างมากในช่วงนั้นก็ตาม การถือครองสินทรัพย์ที่มีโอกาส “ระเบิด” ในเชิงมูลค่า แม้จะมีสัดส่วนเล็ก ๆ ในพอร์ต เช่น 5% ก็อาจส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อผลตอบแทนรวมของพอร์ต

2. การกระจายความเสี่ยง (Diversification) อย่างแท้จริง

หัวใจสำคัญของการจัดพอร์ตคือการกระจายความเสี่ยง (diversification) เพื่อไม่ให้พอร์ตพังเพราะสินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งตกลงมาแรงเกินไป

คริปโทเคอร์เรนซี โดยเฉพาะ Bitcoin มักถูกจัดอยู่ในกลุ่มสินทรัพย์ที่มี correlation ต่ำ หรือมีความสัมพันธ์เชิงลบกับสินทรัพย์อื่น เช่น หุ้น ตราสารหนี้ หรือทองคำ (แม้ในบางช่วงจะมีความสัมพันธ์เพิ่มขึ้น แต่โดยรวมแล้วยังต่ำกว่า)

นี่แปลว่า เมื่อหุ้นตก อาจไม่ได้แปลว่าคริปโทจะตกตามเสมอ และในบางช่วง คริปโทอาจปรับตัวขึ้นในขณะที่ตลาดแบบดั้งเดิมตกลง เช่น ในช่วงเงินเฟ้อสูงที่หลายคนมอง Bitcoin ว่าเป็น "digital gold"

การเพิ่มคริปโทลงในพอร์ตแม้เพียง 3-5% ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงรวมของพอร์ตได้ เนื่องจากการไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับสินทรัพย์ส่วนใหญ่

3. ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และระบบการเงินที่ผันผวน

โลกปัจจุบันกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอย่างมาก:

- เงินเฟ้อพุ่ง
- ธนาคารกลางพิมพ์เงินเพิ่ม
- ความไม่มั่นคงทางการเมือง
- ความเสี่ยงของระบบธนาคารในบางประเทศ

ในบริบทนี้ คริปโทเคอร์เรนซีอย่าง Bitcoin ถูกมองว่าเป็น store of value หรือ "ทองคำดิจิทัล" ที่ไม่สามารถพิมพ์เพิ่มได้ และไม่ขึ้นกับการตัดสินใจของรัฐบาลหรือธนาคารกลาง

Bitcoin มี supply สูงสุดที่ 21 ล้านเหรียญ ทำให้ไม่เกิดเงินเฟ้อจากการ “พิมพ์เพิ่ม” และระบบการทำงานแบบกระจายศูนย์ (decentralized) ก็ช่วยให้มันไม่ถูกควบคุมโดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงลำพัง

แม้ว่าอาจยังไม่ใช่ hedge ต่อเงินเฟ้อที่สมบูรณ์ แต่มีแนวโน้มที่นักลงทุนจะเริ่มถือคริปโทในฐานะสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงในระดับหนึ่ง — โดยเฉพาะในประเทศที่สกุลเงินท้องถิ่นอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว

4. การยอมรับที่เพิ่มขึ้นจากสถาบันและภาครัฐ

เมื่อพูดถึงคริปโท หลายคนยังมองว่านี่คือ "ของเล่นของวัยรุ่น" หรือ "ฟองสบู่" ที่ไม่มีมูลค่าจริง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาคือ การยอมรับจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่

- บริษัทอย่าง BlackRock, Fidelity, และ Ark Invest ต่างเปิดกองทุน ETF ที่ลงทุนใน Bitcoin และ Ethereum

- ธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มศึกษา CBDC (Central Bank Digital Currency)

- บริษัทเทคโนโลยี เช่น Tesla และ PayPal ก็เคยถือครองหรือรับคริปโท

- กองทุนบำนาญบางแห่งในสหรัฐอเมริกาเริ่มจัดสรรเงินจำนวนเล็กน้อยไปยังคริปโท

สิ่งเหล่านี้บ่งชี้ว่า คริปโทไม่ใช่เพียงเทรนด์ชั่วคราว แต่เริ่มเข้าสู่กระแสหลักมากขึ้นเรื่อย ๆ

5. เข้าถึงโอกาสการเงินแห่งอนาคต

คริปโทไม่ใช่เพียงแค่ “เงินดิจิทัล” แต่ยังเป็นประตูสู่ระบบการเงินแบบใหม่ที่เรียกว่า DeFi (Decentralized Finance) ซึ่งกำลังปฏิวัติแนวทางการให้กู้ การออม และการลงทุน

ระบบการเงินแบบดั้งเดิมนั้นมีข้อจำกัดและต้นทุนสูง โดยเฉพาะในประเทศที่การเข้าถึงบริการทางการเงินยังจำกัด แต่ DeFi เปิดโอกาสให้ทุกคนที่มีอินเทอร์เน็ตสามารถ:

- ฝากเงินและรับดอกเบี้ย
- กู้เงินโดยใช้คริปโทเป็นหลักประกัน
- แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องผ่านธนาคาร

แม้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และมีความเสี่ยงสูง แต่ DeFi อาจเป็นอนาคตของระบบการเงิน และผู้ที่ลงทุนในระบบนิเวศนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจได้เปรียบในระยะยาว

6. เรียนรู้และเข้าใจเทคโนโลยีแห่งอนาคต

การมีคริปโทแม้เพียงเล็กน้อยในพอร์ต ยังมีข้อดีอีกอย่างคือช่วยให้คุณเริ่มเรียนรู้และเข้าใจโลกของ Web3, blockchain และ digital assets ซึ่งกำลังจะมีบทบาทมากขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น:

- การถือครองทรัพย์สินดิจิทัลแบบ NFT
- การใช้ smart contract ในการทำธุรกรรม
- การลงคะแนนเสียงแบบ on-chain
- การสร้างรายได้ผ่าน staking, liquidity mining, และการเป็นผู้ให้บริการ node

การเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ตั้งแต่ตอนนี้ จะทำให้คุณอยู่ "หน้าเกม" และเข้าใจโอกาสใหม่ ๆ ที่คนส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็น

แล้วควรลงทุนเท่าไร?

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มักแนะนำให้จัดสรรเพียง 1-5% ของพอร์ต ไปยังคริปโทเคอร์เรนซี เพื่อ:

- ลดความเสี่ยงหากตลาดคริปโทพัง
- ยังมี upside หากตลาดคริปโทโตอย่างที่คาด
- สร้างพอร์ตที่สมดุลและหลากหลาย

การลงทุนคริปโทควรทำด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ตามกระแส และควรเป็นเงินที่คุณสามารถรับความเสี่ยงได้ หากมูลค่าลดลงถึง 50% หรือมากกว่านั้น
เรื่องที่คุณอาจสนใจ

สถานที่/ตำแหน่งร้าน

สถานที่ :

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ :

ทำไมคุณควรมีคริปโทอยู่ในพอร์ตการลงทุนของคุณ แม้เพียงแค่ห้าเปอร์เซนต์ก็ยังมีความหมาย
เรื่องที่คุณอาจสนใจ